เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ย. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะนะ จำไว้ มีแต่คนสมน้ำหน้า ไม่มีคนที่เห็นใจเราจริงหรอก ใครๆ ก็จะสมน้ำหน้า

สมน้ำหน้า มันเป็นเรื่องความคิดความเห็นของคน ถ้าเป็นความคิดของคน คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งสิ้น แต่ความสุขของเรานะ ความสุขของเราคือโยมมาบนศาลาแล้วได้อยู่ได้กินเสมอภาคกัน

ความเสมอภาคกัน การได้รับการเจือจานเท่าเสมอกัน นั่นคือความสุขของเรา ความสุขของคนอื่นเขาได้เสพได้สิ่งต่างๆ เขาจะมีความสุขเขา นั่นคือความสุขของเขา แล้วความสุขนั้นมันได้มาจากสิ่งใด ได้มาจากความเคยชินของตน ได้มาจากความพอใจของตน ได้มาจากเบื้องหลังจริตนิสัยของตน นี่ความสุขๆ ของคน เห็นไหม

แต่ในพระพุทธศาสนานะ เวลาสอนถึงความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เอาหัวใจของเราให้มันสงบระงับขึ้นมา หัวใจของเราถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาแล้วมันจะมีความสุขของมัน ถ้าความสุขของมันนะ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกจากราชวังไป ไปทรมานตนอยู่ ๖ ปี เวลามาค้นคว้าก็ค้นคว้าในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ขึ้นมาก็ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์อยู่ในราชวัง มันมีความทะนุถนอมมาขนาดไหนท่านก็เคยผ่านมา ออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ปี ได้ทุกข์ทรมานขนาดไหนท่านก็ได้ผ่านมา

เวลาท่านมาเสวยวิมุตติสุขๆ ในใจของตนน่ะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ไม่มีที่ไหนจะมีความสุขนอกจากหัวใจของเราเท่านั้น

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนานะ เวลาอบรมสั่งสอน ให้มีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีรัตนตรัย แก้วสารพัดนึกให้สำหรับบุคคล

เด็กน้อยถ้ามันมีแก้วสารพัดนึก มันก็อยากได้ของเล่นของมัน มันอยากได้นมของมัน ผู้ใหญ่พอโตขึ้นมาก็อยากได้โทรศัพท์มือถือของมัน เวลาเราโตขึ้นมาเราก็อยากได้เงินได้ทองของเรา นี่ไง ความปรารถนาในรัตนตรัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน

ทีนี้เรามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ถ้ามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา สิ่งนี้พระธรรม พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐเลอเลิศ ประเสริฐเลอเลิศเพราะอะไร มันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ พรหม เทวดา เวลาเขามีทุกข์เขาจะมาขอฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเลย

นี่ไง สิ่งที่ว่าสัจธรรมนี้มันเหนือวัฏฏะ เหนือตั้งแต่พรหมโลกลงมา สิ่งที่เป็นสัจจะ สัจจะความจริงอันนั้นไง ถ้าเป็นสัจจะความจริง สิ่งที่เป็นสัจจะความจริง กราบธรรมๆ สัจธรรมอันนั้นไง

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามาศึกษาเล่าเรียนของเรา เรามาวัดมาวาด้วยศรัทธาความเชื่อของเราไง ถ้าเราไม่มีศรัทธาความเชื่อของเรา เราอยากทำคุณงามความดีของเรา แล้วทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีที่ไหน

เราทำคุณงามความดีนะ เราออกไปนอกบ้านไปสนุกครึกครื้นเป็นความดีของเรา แต่ความจริงเราทิ้งพ่อทิ้งแม่ ทิ้งพระอรหันต์ไว้ที่บ้าน เราทิ้งญาติของเราไว้ที่บ้าน

แต่ถ้าเราจะทำคุณงามความดี ความดีข้างนอกเราก็ทำ ในบ้านของเรามันต้องอบอุ่นไง เวลาอบอุ่นขึ้นมา เราไม่สามารถดูแลบ้านของเรา เพราะมันคุยกันยากไง ยิ่งคนใกล้ชิดยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าคนข้างนอกพูดกันมันพูดกันง่าย พูดกันง่าย พูดไปแล้วก็แล้วกันไปไง แต่คนใกล้ชิดพูดแล้วต้องทำตามนั้น พอพูดแล้วทำตามนั้น พ่อแม่กับลูกคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง คำว่า “ไม่รู้เรื่องเลย”

มี มีลูกที่ดีขึ้นมา อภิชาตบุตร คุยกับพ่อแม่เข้าใจได้ง่าย แต่ถ้ามันมีเวรมีกรรมต่อกันพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วมีอยู่ประเด็นแน่นอนเลย พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก

เพราะคำว่า “พ่อแม่ไม่รัก” พ่อแม่ไม่ใช่มีลูกคนเดียว พ่อแม่มีลูกหลายคน ถ้าพ่อแม่มีลูกหลายคน การแสดงออกของพ่อแม่ไม่เท่ากัน เวลาการแสดงออกของพ่อแม่ไม่เท่ากัน ไอ้คนที่ได้รับการแสดงออกที่น้อยกว่ามันจะเก็บสะสมไว้ในใจ มันเป็นประเด็นไง

แต่ในมุมมองของพ่อแม่ไง ไอ้ที่พูดน้อยๆ เพราะมันฉลาด มันเอาตัวมันรอดได้ อันนั้นก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ไอ้ที่พูดมากๆ เพราะว่ามันทึบ มันไม่เท่าทันสังคม ก็ต้องจ้ำจี้จ้ำไชมัน ไม่ได้คิดมุมกลับนะ

คิดมุมกลับแบบเด็กไง เด็กว่าถ้ามันต้องเสมอภาคกัน พูดคำหนึ่งก็ต้องคำหนึ่งเสมอกัน ไอ้พูดให้คนโง่คำหนึ่งมันไม่เข้าใจ ต้องสามคำสี่คำมันยังไม่เข้าใจเลย ไอ้คนฉลาดไม่ต้องพูดมันยังรู้เลย แล้วจะให้มันเท่ากันตรงไหนล่ะ นี่มันไม่เท่ากันไง มันเลยเป็นปม

ความเสมอภาคไง นี่ไง ความสุขของเราคือความเสมอภาค คนมาวัดมาวาแล้วได้กินอาหาร ได้นั่งสงบระงับเหมือนๆ กัน มีความเสมอภาคเหมือนกัน แต่หัวใจก็ไม่เท่ากัน หัวใจไม่เท่ากันนะ

เวลามาวัดมาวา เรามาอยู่ที่โพธารามใหม่ๆ เวลาโยมเขามานะ เฮ้ย! เอ็งบอกหลวงพ่อเทศน์สิ หลวงพ่อไม่เทศน์สักทีเลย เทศน์ๆ จบแล้วกูจะได้กลับไง

ก็เทศน์อยู่นี่มันไม่รู้ไง เพราะมันไม่เคย มันเคยนะ ไปวัดไปวาขึ้นมาต้องอาราธนาธรรม พออาราธนาธรรมต้องขึ้นนะโม ต้องถือใบลานมันถึงเป็นการเทศน์ไง เวลาเทศน์ก็อ่านหนังสือให้ฟังไง แล้วสาธุ ได้บุญเยอะมาก แต่เวลาแสดงธรรมๆ มันไม่รู้ เพราะแสดงธรรมๆ ในหัวใจของตนไง

ที่ว่าไม่เสมอกัน ไม่เสมอกันตรงนี้ไง ถ้ามันไม่เสมอกันตรงนี้ สิ่งที่เราทำให้มันเสมอกันเป็นกฎเป็นกติกา กฎหมายบังคับใช้เสมอกัน แต่คนมันก็ไม่เสมอกัน กำปั้นใหญ่ กำปั้นเล็ก ประชาธิปไตยเสียงเดียวๆ

มึงไปดูสิ มันไม่ให้ยก ยกมันไล่ออกเลย ประชาธิปไตยมีหนึ่งเสียงเท่ากันๆ ใครกำปั้นใหญ่ กำปั้นใหญ่มันคุมหมดเลย ๑๐ เสียง ๒๐ เสียงมันคุมอยู่ในมือมันน่ะ ห้ามยก ไม่กล้าเลย ประชาธิปไตยไง

ธรรมาธิปไตย สิ่งใดในโลกนี้ เราเกิดมากับโลก เราไม่ปฏิเสธเขาหรอก คนที่ปฏิเสธโลกเขาเรียกว่าคนขวางโลก

เวลาหลวงตาท่านสอนนะ อย่าให้เป็นหมาคาบบ้องข้าวหลาม เวลามันคาบบ้องข้าวหลาม มันคาบบ้องข้าวหลามแล้วก็วิ่งไป มันขวางโลกไป มันขวางโลกมันสร้างแต่ความเดือดร้อน

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนถึงว่าภายนอก ภายใน ภายนอกดูสิ เวลาอบรมสั่งสอนลูกของเรา สังคมมันน่ากลัวนะ สังคมมันน่ากลัวนะ ต้องให้มีสติปัญญานะ ถ้าในบ้านของเรา ในบ้านของเราเป็นสายเลือดเป็นพี่น้องกันต้องไว้วางใจกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรามีสติปัญญา เราใคร่ครวญด้วยสติปัญญาของเรา แต่เราไม่ขวางโลก เราไม่ใช่ไปเที่ยวตำหนิติฉินว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี

ดีไม่ดีมันก็อยู่ที่สติปัญญาของเขา ดีไม่ดีขึ้นมามันก็อยู่กับวาสนาของเขา วาสนาของเขาต่ำต้อยนะ วาสนาเขาต่ำต้อยเขาทำสิ่งใดเขาว่าเป็นคุณงามความดีของเขา เขาไม่เคยทำอะไรเลย พอเขาทำอะไรให้เล็กน้อย โอ้โฮ! เขาโฆษณาไปห้าบ้านสิบบ้าน ไอ้คนที่ทำจนเคยชินแล้ว ทำมากมายมหาศาล เขาบอกเรื่องนี้ของเล็กน้อยมาก

คนที่จิตใจมันหนา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดเราฝังใจ ท่านบอกเลยนะ โครงการช่วยชาติฯ มันไปทำให้ลูกศิษย์ท่านบอบช้ำ ลูกศิษย์ที่บอบช้ำคือลูกศิษย์ที่เคารพครูบาอาจารย์ของท่าน เวลาเคารพครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านขวนขวาย มีเท่าไรก็ทุ่มเทให้กับครูบาอาจารย์ของตน ครูบาอาจารย์ของตนก็เอาไปกู้ชาติๆ ไง แต่ท่านพูดว่า ไอ้คนที่ถวายแล้วก็ให้รู้จักมีสติปัญญา เงินทองมันไม่ใช่น้ำที่จะตักเอาที่ไหนก็ได้ เงินทองเป็นของหายาก แต่ที่พูดๆ อยู่นี่ก็พูดแต่ไอ้คนที่มันมีเป็นกองเท่าภูเขาแต่มันไม่ให้ ไอ้คนที่มีกองเท่าภูเขา ไอ้คนที่อยู่ในสังคมมันอาศัยสังคมที่อยู่ มันไม่ได้คิดถึงสังคมเลยว่าสัมคมมันเดือดร้อนอย่างไร เวลาสังคมที่เดือดร้อนมันจะช่วยเหลือสังคมบ้างหรือไม่ มันไม่ให้เลย พูดถึงไอ้คนประเภทนั้น พูดถึงคนประเภทนั้น คนที่มันมีเป็นภูเขาเลากาแต่มันไม่ให้

แต่ไอ้พวกเราพวกที่มีศรัทธาความเชื่อ เราก็พยายามทุ่มเทให้ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านพูด เวลาท่านพูดขึ้นมาท่านพูดด้วยหัวใจของท่าน แต่คนจะฟังออก ฟังไม่ออกก็แล้วแต่ ไอ้เราฟังแล้วมันสะเทือนใจเพราะมันฟังออกไง “เราทำลูกศิษย์เราให้บอบช้ำ ลูกศิษย์เราบอบช้ำก็เพราะเรา เพราะเรา”

แต่ไอ้ความบอบช้ำนั้นมันเป็นเรื่องของวัตถุ เป็นเรื่องการแสวงหา แต่เรื่องบุญกุศลล่ะ มันมีโอกาสที่ไหนที่เราจะได้ทำบุญกับพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ก็เอาเงินนั้นไปเพื่อสาธารณประโยชน์ สาธารณประโยชน์เพื่ออะไร เพื่อให้มีแผ่นดินนี้อยู่อาศัย แผ่นดินที่อยู่อาศัย ใครจะทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหนมันต้องทำบนแผ่นดินนี้ ถ้าทำบนแผ่นดินนี้ แล้วแผ่นดินนี้ทำให้มันเป็นไทยขึ้นมา มันไม่ได้บุญตรงไหน

เวลาเขาบอกนะ เศรษฐกิจที่มันพังพินาศก็พวกธุรกิจใหญ่ๆ ต้องให้พวกธุรกิจใหญ่ๆ มันมาจัดการพวกชาวไร่ชาวนาของเรา เราทำไร่ไถนาของเรา เราไม่รู้สีรู้สาอะไรกับเขาเลย เรามีแต่โดนเอารัดเอาเปรียบ ทำไมเราต้องเอาห้าเอาสิบไปช่วยโครงการช่วยชาติฯ โครงการช่วยชาติฯ ท่านบอกว่าใครๆ ก็คิดแบบนี้ไง

ท่านบอกว่าถ้าคิดแบบนี้นะ คนจมน้ำ มึงไม่ช่วยมัน มันตายอยู่นั่นน่ะ ขณะที่เศรษฐกิจมันเกิดวิกฤติ มันก็ต้องมีการช่วยเหลือกัน จะไปสาวหาว่าไอ้คนจมน้ำพ่อแม่มึงชื่ออะไร พ่อแม่มึงทำไมปล่อยประมาทให้ลูกมาจมน้ำ ถ้าลูกมันจมน้ำ พ่อแม่ให้มันมาช่วย มันตายไปแล้ว

นี่ไง เวลาคนถ้ามีสติปัญญา ประชาชนคิดได้ เราคิดได้ นึกหรือว่าหลวงตาคิดไม่ได้ ทุกคนคิดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาคิดแล้วอะไรมันเป็นประโยชน์ อะไรมันไม่เป็นประโยชน์ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้

ไอ้คิดอย่างพวกเราคิดแบบทำไม่ได้ไง ก็ต้องรอให้ไอ้พวกเศรษฐี ไอ้พวกนักธุรกิจใหญ่ๆ ที่มันไปกู้จากเมืองนอกมาเยอะๆ ไอ้พวกที่ทำลายชาติให้มันมากู้ชาติ มันกู้ไหม

เราคิดแต่เรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ แต่หลวงตาท่านคิดสิ่งที่เป็นไปได้ แล้วทำได้ ทำด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน แล้วทำได้จริงๆ ทำได้จนปัจจุบันนี้ให้เรามาลอยหน้าลอยตากัน ยิ้มแย้มผ่องใสกันอยู่นี่ ใครเป็นคนทำ แล้วคนทำท่านก็ไปแล้ว เพราะครูบาอาจารย์เราท่านทำประโยชน์เพื่อประโยชน์

สิ่งที่เป็นธรรมๆ คนเราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วความสุขของใคร ความสุขของพระอรหันต์มันมีที่ไหน มันมีในใจของพระอรหันต์ วิมุตติสุข วิมุตติสุขในใจของพระอรหันต์น่ะ มันจบแล้ว มันไม่ไปข้างหน้าและไม่ไปข้างหลัง มันไม่ไขว้เขวใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขในใจท่านมันมหาศาล มันครบสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ที่ทำสิ่งใดแล้วไม่ต้องการอะไรเลย ไม่ต้องการอะไรเลย แต่สงเคราะห์โลก สงเคราะห์ไอ้พวกตาดำๆ นี่

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไง หลวงตาท่านเอาน้ำมะพร้าวอ่อนไปให้ท่านฉันเพราะท่านป่วยไข้

ฉันไม่ได้

ทำไมล่ะ

ก็ไอ้พวกตาดำๆ ไง

นี่สงเคราะห์ ที่ทำนี่ทำเพราะสงเคราะห์ เพราะอะไร ไอ้พวกตาดำๆ กิเลสเต็มในหัวใจของมัน เวลากิเลสเต็มหัวใจของมัน กิเลสมันเกิดทิฏฐิมานะ มันไม่ฟังใครทั้งสิ้น ในโลกนี้ไม่มีใครเก่งกว่ากู ไม่มีใครแน่กว่ากู ไม่มีใครใหญ่กว่ากู ไม่มีใครปัญญาเลิศกว่ากู ไม่ฟังใครทั้งสิ้น นี่ไอ้พวกตาดำๆ กิเลสเต็มหัวมัน มันบอกมันยอดเยี่ยมกระเทียมดอง

แต่หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แล้วเวลาครูบาอาจารย์จะอุปัฏฐากท่าน ท่านบอกว่าฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้เพราะอะไร ไอ้พวกตาดำๆ มันมองอยู่

ถ้ามันมองอยู่นะ สิ่งที่น่าไว้วางใจ กว่ามันจะไว้วางใจได้ มันจะมาประพฤติปฏิบัติ มันจะขวนขวายของมัน มันต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อความมั่นคงของมัน ไปเอาน้ำใจของคนน่ะ ท่านทำเพื่อสังคม ทำเพื่อไอ้พวกตาดำๆ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ ท่านทำเพื่อใคร จะโดนเสียดสีอย่างไร โดนโจมตีขนาดไหน ธรรมดานะ โทษนะ พระอรหันต์ไม่รู้หรือ พระอรหันต์ไม่รู้ว่าออกมาทำแล้วมันจะมีอะไรเสียดสีหรือ รู้ทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะไอ้พวกตาดำๆ ไง น้ำใจของสัตว์โลกไง ทำเพื่อโลกไง

ไร้สาระ ผลตอบสนอง สิ่งตอบสนองในสามโลกธาตุนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ๖๑ องค์ ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณที่โลกนี้เขาปรารถนาที่สามโลกธาตุที่เขาแสวงหากันน่ะ ไร้สาระ บ่วงที่เป็นทิพย์ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ไร้สาระ

ถ้ามีสาระอยู่ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้ายังมีสาระอยู่นะ ยังเก็บเกี่ยวเกาะเกี่ยวกับสามโลกธาตุ เกาะเกี่ยวกับผลประโยชน์ในโลก ไร้สาระ

พระอรหันต์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ พ้นหมด

เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ อย่าไปซ้อนทางกัน โลกเขาเร่าร้อนนัก โลกเขาเร่าร้อนนัก

โลกอยู่ที่ไหน โลกอยู่ในโลกนี้หรือ ไม่ใช่

โลก โลกทัศน์ วิสัยทัศน์ โลกน่ะ โลกมันอยู่กลางหัวใจนี้ ทุกคนจะยึดครองโลก ทุกคนจะปกครองโลก เห็นไหม โลกนี้เร่าร้อนนัก หัวใจประชาชนเดือดร้อนนัก หัวใจของสัตว์โลกเดือดร้อนนัก หัวใจของเทวดา อินทร์ พรหมเดือดร้อนนัก เทวดา อินทร์ พรหมหมดอายุขัยต้องมาเกิด คร่ำครวญร้องไห้ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกอยู่ที่ไหน โลกอยู่ดาวอังคารไง ดวงอาทิตย์ไง โลกเราไง ไอ้นี่มันภพ สสารที่ให้เกิด จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ นี่พูดถึงว่าถ้าฟังธรรมๆ ไง

ความสุข ความสุขมันคือกฎกติกาที่เป็นสัจธรรม สิ่งใดที่เป็นธรรมๆ เป็นความสุขของเรา เราต้องการความเสมอภาค เราต้องการความเห็นน้ำใจต่อกัน ไอ้นี่มันเป็นเรื่องปลายเหตุ เริ่มต้นมันอยู่ที่เจตนา อยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของคน

คนที่มีความรู้สึกนึกคิดมากน้อยแค่ไหน เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น เวลาปากกัดตีนถีบ เราทำหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำเพื่อเราไง เราทำเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ดูสิ ทางเศรษฐศาสตร์เขาต้องเอาความมั่นคงของการคลัง ความมั่นคงของค่าเงิน ความมั่นคงใช่ไหม เราก็เอาความมั่นคงของชีวิตไง ทุกคนต้องการความมั่นคงของชีวิต ทุกคนต้องมีเงินออมเพื่อไว้ดำรงชีพไง

แต่เวลามันโดนเขาหลอกไง ดูสิ ข้าราชการเกษียณ เกลี้ยงเลย ทุกบัญชีโอนให้เขาหมดเลย ข้าราชการเกษียณ แล้วเวลามันจะหลอก มันจะไปหลอกคนแก่คนเฒ่าที่อยู่บ้านคนเดียวน่ะ นี่ไง เพื่อความมั่นคงของชีวิตไง แต่เวลาเผอเรอ ไม่เท่าทันคน สิ่งที่ออมไว้สะสมไว้หมดเลย แต่เราก็ต้องมีชีวิตต่อไป

ถ้าเรามีสติปัญญา มีสติปัญญาของเรา อย่าเชื่อใครง่ายๆ

ศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาของเรา ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วไอ้ ๑๘ มงกุฎมันก็เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปแอบอ้าง ไปแอบอ้างว่านี่พระพุทธศาสนาๆ แล้วเราเบื่อหน่ายมาก พุทธพจน์ๆ โลกจะแตก โลกจะนั่น อ้างแต่พระพุทธเจ้าไปไถเงินกัน อ้างแต่พระพุทธเจ้าไปหลอกลวงกัน เอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง แล้วก็ไปคว้าเอาดวงใจของสัตว์

เวลาเราต่อต้านพวกนี้ โยมเขาถาม หลวงพ่อทำไปทำไม

ทำเพื่อให้พวกเอ็งเอาหัวใจของเอ็งไว้อยู่กลางอก อย่าให้เขาควักไป อย่าให้เขาควักไปคืออย่าให้ไปเชื่อใคร ไปเชื่อใครก็เท่ากับเอาหัวใจเราไปฝากไว้กับคนอื่น เอาหัวใจไว้กลางอกนั่นแหละ แล้วเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ทุกบ้านมีพระพุทธรูป ทุกบ้านมีห้องพระ เรากราบเราไหว้ของเรา แล้วเราทำหน้าที่การงานของเราด้วยความจริงจังของเรา ด้วยสติปัญญาของเรา อย่าประมาทเลินเล่อ ทำสิ่งใดด้วยสติด้วยปัญญา แล้วใคร่ครวญของเรา แล้วถ้ามันเป็นธรรมๆ มันได้มาข้อเท็จจริง นี่ธรรมาภิบาล ได้มาโดยธรรม

แล้วคนที่มีบุญกุศลนะ เขาทำโดยธรรมๆ แล้วเขาร่ำรวยมหาศาลเศรษฐีกุฎุมพี นั้นเพราะเขามีบุญกุศลของเขา คนเราจะร่ำจะรวย คนเราจะมีที่อยู่ที่กินมันด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราเป็นคนแสวงหานะ เราเป็นคนทำนะ เราทำมาเพื่อเราไง นี่ประสบความสุขทางโลก ประสบความสุขในชีวิตไง แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติมันยิ่งใหญ่กว่านี้มากนัก

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วดูหัวใจพระอรหันต์ธรรมธาตุสิ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ คำว่า “พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์” มันมาเกาะเกี่ยวกับคุณธรรมอันนั้นไม่ได้ ไม่ได้หรอก ธรรมเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือสงสารใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเราพยายามจะขวนขวาย แล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก

เวลาหลวงตาไปหาหลวงปู่มั่น “มหา มหาจะมาหานิพพานใช่ไหม นิพพานไม่ได้อยู่ที่ภูเขาเลากาที่ใดทั้งสิ้น ไม่อยู่บนอวกาศ ไม่อยู่ใดๆ ทั้งสิ้น มันอยู่ในใจของคน มันอยู่ในใจของเรานี่”

แล้วเราก็มีความรู้สึกนึกคิด พระพุทธศาสนาสอน สอนถึงหัวใจของเราไง พุทธะ พุทธะคือธาตุรู้ คือธรรมชาติที่รู้ แล้วธรรมชาติที่รู้มันโดนกลบไว้ด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรา โดนกลบไว้ด้วยจริตนิสัยของเรา แล้วเราก็ไปเชื่อคนนอก ออมไว้ทั้งชีวิตเลย เขามาหลอกทีเดียวโอนให้หมดเลย น่าสงสาร

มันเป็นกรรมของสัตว์โลก แล้วกฎหมายต้องบังคับใช้ให้เข้มข้น ไอ้พวกหลอกลวงให้มันได้หนเดียว อย่าให้มันทำซ้ำ แต่ไปดูสิ จับมาแล้ว เคยทำมาแล้ว ๕๐-๖๐ ปีทั้งนั้นน่ะ เพราะนิสัยเป็นอย่างนั้น ไอ้พวกกะล่อนปลิ้นปล้อนมันทำจนเป็นจริตนิสัย แล้วมันหากินด้วยประเภทอย่างนั้นน่ะ มันก็ทำอย่างนั้นทั้งชีวิตของมัน แล้วก็เที่ยวไปทำความผิดพลาด ไปทำความเจ็บช้ำให้กับคนซื่อ คนซื่อ คนออมเงิน คนเก็บสะสมประหยัดมัธยัสมา คนดีๆ ทั้งนั้นน่ะ ไอ้ ๑๘ มงกุฎมันไปหลอก

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วหรือ

เราบอกทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วไง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรามาตลอด เราก็สะสมของเรามานี่ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขาร สังขารทั้งร่างกายและความคิดโดยความไม่ประมาทเถิด

เราอุตส่าห์อดออมประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนดีสะสมมาเต็มที่ แล้วเราก็ประมาทเลินเล่อกับไอ้มารยาสาไถยที่เขามากะล่อนปลิ้นปล้อน ยกย่องหน่อยเดียว เหลิง เชื่อเขา ไปตามเขา เพราะความประมาทของเรา

แล้วบอกว่าทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี ถ้าทำดีแล้วสะสมออมไว้ต้องไม่มีใครมาโกงสิ

เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก คนที่เขามีจริตนิสัยอย่างนั้น คนที่มาจากมารมันเยอะ มาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเยอะ คนที่มาจากคุณธรรม มาจากหัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่จะเสียสละ จะดูแลจะปกป้องมันมีน้อย แต่เราก็พยายามทำของเรา

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา ฟังธรรมเพื่อความฉลาดของเรา อย่าเชื่อใคร กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนพูด อย่าเชื่อ แต่ฟังแล้วไปวิเคราะห์วิจัย แล้วพยายามฝึกฝนใจของเราให้เข้มแข็ง ให้เป็นอัตตสมบัติของเราเอง เอวัง